คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

ครั้งที่ 16


บันทึการเรียนครั้งที่ 16 

วันอังคารที่ 18 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2557

   *** วันนี้อาจารย์ให้นักศึกษาเคลียงานที่ค้างอยู่ให้เรียบร้อย พร้อมส่งงานวิจัยของแต่ละคน และอาจารย์ได้ให้ข้อสอบกลับไปทำ โดยนัดส่งในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ***

ครั้งที่ 15


บันทึกการเรียนครั้งที่ 15
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์
* ครั้งนี้อาจารย์สอนเรื่อง เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้

(L.D) เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
      เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (L.D)
      หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างในกระบวนการพื้นฐาน ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับความเข้าใจหรือการใช้ภาษา อาจเป็นการพูดและ/หรือภาษาเขียน หรือการคิดคำนวณ รวมทั้งสภาพความบกพร่องในการรับรู้ สมองได้รับบาดเจ็บกาปฏิบัติงานของสมองสูญเสียไป

สาเหตุ 
   -   การได้รับบาดเจ็บทางสมองเนื่องจากระบบประสาทส่วนกลางได้รับบาดเจ็บไม่สามารถทำงานได้            เต็มที่
    -  กรรมพันธุ์ เนื่องจากงานวิจัยจำนวนมากระบุว่า ถ้าหากพ่อแม่ ญาติ พี่น้องที่ใกล้ชิดเป็นจะมีโอกาส          ถ่ายทอดทางพันธุ์กรรม

ลักษณะทั่วไปของเด็ก (L.D) 
      -มีความบกพร่องทางการพูด
      -มีความบกพร่องทางการสื่อสาร
      -มีปัญหาในการเรียนวิชาทักษะ
      -มีปัญหาในการสร้างแนวความคิดรวบยอด
      -การทดสอบผลการเรียนให้ผลไม่แน่นอนมากแก่การพยากรณ์
      -มีความบกพร่องทางการรับรู้
      -มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว
      -มีอารมณ์ไม่คงที
      -โยกตัวหรือผงกศีรษะบ่อยๆ
      -มีพัฒนาการทางร่างกายไม่คงที่
      -มีพฤติกรรมไม่คงเส้นคงว่า
      -เสียสมาธิง่ายแสดงพฤติกรรมแปลกๆ
      -มีปัญหาในการสร้างความ สัมพันธ์กับเพื่อน  

ครั้งที่ 14


บันทึกการเรียนครั้งที่ 14 
วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557

ในสัปดาห์นี้อาจารย์สอนเรื่อง เด็กดาวน์ซินโดรม

      1. ด้านสุขภาพอนามัย
  
      2.การส่งเสริมพัฒนาการ
  
      3.การดำรงชีวิตประจำวัน
  
      4.การฟื้นฟูสมรรถภาพ

Autistic ออทิสติก (ตัวอันตราย/คล้ายๆกับเด็กสมาธิสั้นอยู่ไม่นิ่งอยู่ไม่สุข )
    ส่งเสริมความเข้มแข็งครอบครัว/สำคัญที่สุด
      -   ครอบครัวมีบทบาทสำคัญที่สุดในกระบวนการดูแลช่วยเหลือเด็กออทิสติก
    ส่งเสริมความสามารถเด็ก
       -  การเสริมสร้างโอกาสให้เด็กได้เล่นของเล่นที่หลากหลาย
        - ทำกิจกรรมที่หลากหลาย
    การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม
         - เพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
         - การให้การเสริมแรง ดีก็ชม

 การฝึกพูด (ได้รับจากนักบำบัดการพูด)
        โดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า
        ถ้าเด็กพูดได้เร็วโอกาสที่จะพัฒนาการทางภาษาใกล้เคียงปกติจะเพิ่มมากขึ้น

 การสื่อความหมายทดแทน
        การรับรู้ผ่านการมองเห็น
        โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร PECS
   การส่งเสริมพัฒนาการ
        ให้เด็กมีพัฒนาการเป็นไปตามวัย
        เน้นในเรื่องการมองหน้าการสบสายตาการมีสมาธิ การฟัง และทำตามคำสั่ง
  การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
        เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
  การรักษาด้วยยา
        เพื่อบรรเทาอาการไม่ใช่รักษาให้หาย
  การบำบัดทางเลือก
        การสื่อความมหายทดแทน
        ศิลปะกรรมบำบัด
  พ่อ แม่
        ลูกต้องพัฒนาได้
        เรารักลุกของเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร
        ถ้าเราไม่รักแล้วใครจะรัก
        หยุดไม่ได้ต้องสู้
        ดูแลจิตใจและร่างกายของตนเองให้เข้มแข็ง
        ไม่กล่าวโทษตนเองหรือคู่สมรส
        ควรหันหน้าปรึกษากันในครอบครัว

ครั้งที่ 13



บันทึกการเรียนครั้งที่ 13 
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2557

  * ในสัปดาห์นี้ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากสอบในรายวิชา *

ครั้งที่ 12


บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 12
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2557

* ในสัปดาห์นี้อาจารย์สอนเรื่อง พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

 พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆรวมทั้งตัวบุคคล ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำสิ่งที่ยากซับซ้อนมากขึ้น โดยทั่วไปพัฒนาการปกติ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ
          1.พัฒนาการด้านร่างกาย
          2.พัฒนาการด้านสติปัญญา
          3.พัฒนาการด้านจิตใจ-อารมณ์
          4.พัฒนาการด้านสังคม
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
-ปัจจัยด้านชีวภาพ เกี่ยวข้องกับลักษณะทางพันธุกรรมหรือชุดหน่อยของยีนที่เด็กได้รับสืบทอดมาจากมารดาบิดา
-ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด การติดเชื้อ สารพิา สภาวะทางโภชนาการและการเจ็บป่วยของมารดาส่งผลต่อพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์
-ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด  การเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะคลอด เช่น ภาวะขาดออกซิเจนในขณะคลอด
- ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด ปัจจัยด้านระบบประสาทและสภาพแวดล้อมส่งผลร่วมกันต่อพัฒนาการของเด็ก เด็กที่ไม่มีบิดามารดาหรือเด็กที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ แออัด ยากจน

 สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
            1. โรคพันธุกรรม
            2. โรคของระบบประสาท อาการหลักที่เกิดขึ้นในเด็กคืออาการชัก
            3. การติดเชื้อ
            4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอดิซึม ระบบเผาผลานในร่างกาย พบมากในประเทศไทย สามารถ                 รักษาได้โดยการฉีดฮอโมนในตัว ถ้าไม่รับคือโง่ตลอดกาล
            5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด  เกิดก่อนกำหนด
            6. สารเคมี ตะกั่ว
            7. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร เช่น ปฏิกิริยาสะท้อน

 แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
            1. การซักประวัติ
            2. การตรวจร่างกาย
            3. การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ
           4. การประเมินพัฒนาการ

 แนวทางในการดูแลรักษา
           1. หาสาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ โดยมาพบถุมารแพทย์และแพทย์ด้าน                        พัฒนาการเด็ก เพื่อทำการประเมินพัฒนาการเบื้องต้นและหาสาเหตุด้วยเสมอ
           2. การตรวจค้นหาความผิดปกติร่วม
           3. การรักษาสาเหตุโดยตรง
           4. การส่งเสริมพัฒนาการ หลักการคือพยายามทำให้มีวิธีการเดียวกับการเลี้ยงดูเด็กทั่วไปในชีวิต                  ประจำวัน
           5. ให้คำปรึกษากับครอบครัวในการหาแหล่งความรู้เพิ่มเติมต่างๆ เช่น หนังสือ หรือเว็ปไซต์เกี่ยว                  กับเด็กพิเศษ

    สรุปขั้นตอนในการดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
           1. การตรวจคัดกรองพัฒนาการ
           2. การตรวจประเมินพัฒนาการ
           3. การให้การวินิจฉัยและหาสาเหตุ
           4. การให้การรักษาและส่งเสริมพัฒนาการ
           5. การติดตามและประเมินผลการรักษาเป็นระยะ

    บริการที่สำคัญสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
          1. การตรวจการได้ยิน
          2. การให้คำปรึกษาครอบครัว
          3. การจัดโปรแกรมการศึกษา
          4. บริการทางการแพทย์
          5. บริการทางการพยาบาล
          6. บริการด้านโภชนาการ
          7. บริการด้านจิตวิทยา
          8. กายภาพบำบัด
          9. กิจกรรมบำบัด
         10.อรรถบำบัด

ครั้งที่ 11


บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 11
วันอังคารที่ 14 มกราคม 2557

* ไม่มีการเรียนการสอน เนื่องจากมีนักศึกษาหลายคนไม่สามารถเดินทางมาเรียนได้ เพราะเหตุการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ

ครั้งที่ 10


บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 10
                    วันอังคารที่ 7 มกราคม 2557

   ในสัปดาห์นี้อาจารย์ให้นำเสนองานที่เตรียมไว้ในสัปดาห์ก่อน
กลุ่ม1 สมองพิการ
          สาเหตุ
             - มีความผิดปกติตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
             - เด็กคลอดยาก
             - มีอาการดีซ่านอย่างรุนแรงหลังคลอด
             - เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคทางสมอง
          อาการ
             - พัฒนาการล่าช้า
             - กล้ามเนื้อเกร็งตัวมาก
             - เคลื่อนไหวผิดปกติ
กลุ่ม2 เด็ก LD
          สาเหตุ
             - ได้รับบาดเจ็บทางสมอง
             - พันธุกรรม
             - สภาพสิ่งแวดล้อม
          อาการ
             - แยกแยะขนาด สี รูปร่างไม่ออก
             - มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเวลา
             - ทำงานช้า
             - เขียน อ่าน ตัวอักษรสลับซ้ายกับขวา
             - สมาธิไม่ดี



ครั้งที่9



บันทึกการเรียนครั้งที่ 9

                                                                                                    วันอังคาร ที่ 31 ธันวาคม 2556

* เทศกาลวันขึ้นปีใหม่ *









ครั้งที่ 8


บันทึกการเรียนครั้งที่ 8 
   วันอังคาร ที่ 24 ธันวาคม 2556

* ไม่มีการเรียนการสอน  เนื่องจากอยู่ในช่วงสอบกลางภาค *


 

ครั้งที่ 7


บันทึกการเรียนครั้งที่ 7 
  วันอังคาร ที่ 17 ธันวาคม 2556


 *วันนี้เป็นวันกีฬาสีของมหาวิทยาลัย อาจารย์ให้เข้าร่วมกิจกรรมกีฬา


ครั้งที่ 6


บันทึกการเรียนครั้งที่ 6
 วันอังคาร ที่ 10 ธันวาคม 2556

  * เป็นวันหยุดราชการ  เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ

10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ

วันรัฐธรรมนูญ

                ความสำคัญของวันรัฐธรรมนูญ
                วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้เสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ณ พระที่นั่ง อนันตสมาคม ซึ่งโปรดเกล้าให้จัดเป็นที่ประชุมรัฐสภาได้ทรงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศจึงได้ถือเป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติ เพื่อระลึกถึงวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระราชทาน รัฐธรรมนูญ “ฉบับแรกอันเป็นฉบับถาวร” ให้แก่ปวงชนชาวไทย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งมีพระราชดำรัสในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญดังนี้ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตย โดยผู้ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งนั้นคือ คณะราษฎร์

รัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีทั้งหมด 16 ฉบับ ได้แก่

ฉบับที่ 1 ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2475
ฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
ฉบับที่ 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
ฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2490 (ฉบับชั่วคราว)
ฉบับที่ 5 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
ฉบับที่ 6 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2495
ฉบับที่ 7 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2502
ฉบับที่ 8 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
ฉบับที่ 9 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515
ฉบับที่ 10 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
ฉบับที่ 11 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519
ฉบับที่ 12 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2520
ฉบับที่ 13 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 (แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2528)
ฉบับที่ 14 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
ฉบับที่ 15 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
ฉบับที่ 16 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
ฉบับที่ 17 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549
ฉบับที่ 18 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
กิจกรรม
             คือ มีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลฉลอง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ทุกปีสืบมา งานนี้เป็นงานพระราชพิธีและรัฐพิธีร่วมกัน และมีพิธีการวางพวงมาลาถวายสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และจะมีการประดับธงชาติบริเวณอาคารบ้านเรือน
แหล่งอ้างอิง
- วันและประเพณีสำคัญ. เรียบเรียงโดย ศิริวรรณ คุ้มโห้
- ประเพณีและพิธีกรรมในวรรณคดีไทย. สมปราชญ์ อัมมะพันธ์

ครั้งที่ 5

บันทึกการเรียนครั้งที่ 5 
วันอังคาร ที่  3 ธันวาคม 2556

**  วันนี้อาจารย์เปิด PowerPoint เนื้อหาการสอนไม่ได้อาจารย์เลยให้เคลียงานที่ค้างอยู่

ความรู้เพิ่มเติม

บุคคลพิการ 9 ประเภท
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๕๒
               อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ และมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงออกประกาศกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
               ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและ
หลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๒”
             ข้อ ๒ ประเภทของคนพิการ มีดังต่อไปนี้
(๑) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น
(๒) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
(๓) บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
(๔) บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ
(๕) บุคคลที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
(๖) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
(๗) บุคคลที่มีปัญหาทางพฤติกรรม หรืออารมณ์
(๘) บุคคลออทิสติก
(๙) บุคคลพิการซ้อน
              ข้อ ๓ การพิจารณาบุคคลที่มีความบกพร่องเพื่อจัดประเภทของคนพิการ ให้มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
             (๑) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงตาบอดสนิท ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ประเภทดังนี้
              (๑.๑) คนตาบอด หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นมาก จนต้องใช้สื่อสัมผัสและสื่อเสียงหากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้ว อยู่ในระดับ ๖ ส่วน ๖๐ (๖/๖๐) หรือ ๒๐ ส่วน ๒๐๐(๒๐/๒๐๐) จนถึงไม่สามารถรับรู้เรื่องแสง
              (๑.๒) คนเห็นเลือนราง หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็น แต่ยังสามารถอ่านอักษร
ตัวพิมพ์ขยายใหญ่ด้วยอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ หรือเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก หากวัดความชัดเจนของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ ๖ ส่วน ๑๘ (๖/๑๘) หรือ ๒๐ ส่วน ๗๐(๒๐/๗๐)
            (๒) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการได้ยินตั้งแต่ระดับหูตึงน้อยจนถึงหูหนวก ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ประเภท ดังนี้
            (๒.๑) คนหูหนวก หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูด
ผ่านทางการได้ยินไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งโดยทั่วไปหากตรวจการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยิน ๙๐ เดซิเบลขึ้นไป
           (๒.๒) คนหูตึง หมายถึง บุคคลที่มีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอที่จะได้ยินการพูด
ผ่านทางการได้ยิน โดยทั่วไปจะใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินน้อยกว่า ๙๐ เดซิเบลลงมาถึง ๒๖ เดซิเบล
           (๓) บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่ บุคคลที่มีความจำกัดอย่างชัดเจนในการปฏิบัติตน (Functioning) ในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ ความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ เฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญร่วมกับความจำกัดของทักษะการปรับตัวอีกอย่างน้อย ๒ ทักษะจาก ๑๐ ทักษะได้แก่ การสื่อความหมาย การดูแลตนเอง การดำรงชีวิตภายในบ้านทักษะทางสังคม/การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การรู้จักใช้ทรัพยากรในชุมชน การรู้จักดูแลควบคุมตนเอง การนำ ความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน การทำงาน การใช้เวลาว่าง การรักษาสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ทั้งนี้ได้แสดงอาการดังกล่าวก่อนอายุ ๑๘ ปี
           (๔) บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ ซึ่งแบ่งเป็น๒ ประเภท ดังนี้
            (๔.๑) บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว ได้แก่ บุคคลที่มี
อวัยวะไม่สมส่วนหรือขาดหายไป กระดูกหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ มีอุปสรรคในการเคลื่อนไหว
ความบกพร่องดังกล่าวอาจเกิดจากโรคทางระบบประสาท โรคของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกการไม่สมประกอบ มาแต่กำเนิด อุบัติเหตุและโรคติดต่อ
           (๔.๒) บุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ ได้แก่ บุคคลที่มีความเจ็บป่วยเรื้อรังหรือ
มีโรคประจำตัวซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ซึ่งมีผลทำให้เกิดความจำเป็นต้องได้รับการศึกษาพิเศษ
           (๕) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วนที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ในด้านที่บกพร่องได้ ทั้งที่มีระดับสติปัญญาปกติ
          (๖) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องในการ
เปล่งเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มี
ความบกพร่อง ในเรื่องความเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจเกี่ยวกับรูปแบบ เนื้อหาและหน้าที่ของภาษา
           (๗) บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลที่มีพฤติกรรม
เบี่ยงเบนไปจากปกติเป็นอย่างมาก และปัญหาทางพฤติกรรมนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจาก            ความบกพร่องหรือความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์หรือความคิดเช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมองเสื่อม เป็นต้น
          (๘) บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วนซึ่งส่งผลต่อความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีข้อจำกัดด้านพฤติกรรม หรือมีความสนใจจำกัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยความผิดปกตินั้นค้นพบได้ก่อนอายุ ๓๐ เดือน
          (๙) บุคคลพิการซ้อน ได้แก่ บุคคลที่มีสภาพความบกพร่องหรือความพิการมากกว่า
หนึ่งประเภทในบุคคลเดียวกัน

ครั้งที่ 4

บันทึกการเรียนครั้งที่ 4 
วันอังคาร ที่ 26 พฤศจิกายน 2556

  อาจารย์อธิบายเนื้อหาต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว

6. เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
-เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆไม่ได้ (กลุ่มนี้น่ากลัว)
-เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมของตยเองไม่ได้
-ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย

  ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
-ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
-รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
-มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
-มีความคับข้องใจและมีความเก็บกดอารมณ์
-แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย
-มีความหวาดกลัว

 เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
-เด็กสมาธิสั้น
-เด็กออทิสติก

 ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
-อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
-ยังติดขวดนม หรือตุ้กตา และของใช้ในวัยทารก
-ดูดน้ำ กัดเล็บ
-หงอยเหงาเศร้าซึม การหนีสังคม
-เรียกร้องความสนใจ
-อารมณ์หวั่นไหวง่ายตาอสิ่งเร้า
-ขี้อิจฉาริษยา
-ฝันกลางวัน
-พูดเพ้อเจ้อ

7.เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ * เหมือนเด็กปกติทุกอย่างไม่บกพร่องเลย
-เรียกย่อๆว่า L.D (Learning Disability)

  ลักษณะของเด้กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
-มีปัญหาในทักษะคณิตศาสตร์
-ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้
-มีปัญหาด้านการอ่านเขียน
-ไม่รู้จักซ้ายขวา
-ซุ่มซ่าม
-รับลูกบอลไม่ได้
-ติดกระดุมไม่ได้
-เอาแต่ใจตนเอง

8. เด็กออทิสติก ( Autistic) *รับมือยากมากรุนแรงสุดๆ
-หรือออทิซึ่ง ( Autism)

   ลักษณะเด็กออทิสติก *โลกส่วนตัวสูงมาก
-อยู่ในโลกของตนเอง
-ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ใครปลอบใจ
-ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
-ต่อต้าน หรือแสดงกิริยา อารมณ์รุนแรงและไร้เหตุผล
-มีท่าทางเหมือนคนหูหนวก
-ใช้วิธีการสัมผัสและเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยวิธีที่ต่างจากคนทั่วไป

9.เด็กพิการซ้อน
-เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่างเป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
-เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
-เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
-เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด

ครั้งที่ 3


บันทึกการเรียนครั้งที่ 3 
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2556
                  

                 -ในสัปดาห์นี้อาจารย์ได้สอนเนื้อหาต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว 
    เรื่อง เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ และ เรื่องเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และ ภาษา

4. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ (Children with Physical and Health  Impairments) มีดังนี้ คือ
    - เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
    - อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
    - มีปัญหาทางระบบประสาท
    - มีความลำบากในการเคลื่อนไหว

  เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ  จำแนกได้เป็น 2 ประเภท  
    1.อาการบกพร่องทางร่างกาย
    2.ความบกพร่องทางสุขภาพ

    1.อาการบกพร่องทางร่างกาย 
         เด็กซีพี (Cerebral Palsy) 
    - เป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือ เป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
    - การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพีมีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆของสมองแตกต่างกัน 

อาการของโรค
-อัมพาตเกร็งแขนขา หรือ ครึ่งซีก (Spastic)
-อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Athetoid)
-อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia)
-อัมพาตตึงแข็ง (Rigid)
-อัมพาตแบบผสม (Mixed)

 2. ความบกพร่องทางสุภาพ
     โรคลมชัก (Epilepsy)
    เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องจากความผิดปกติของระบบสมอง 
   - ลมบ้าหมู (Grand Mal) 
   - เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึก ในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
   - การชักในช่วงเวลาสั้นๆ (Petit Mal)
   - มีอาการ ชักชั่วระยะสั้นๆ5-10 วินาที 
   - เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงัก ในท่าก่อนชัก 
   - เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
   - การชักแบบรุนแรง ( Grand Mal) 
   - เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราวๆ 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และ นอนหลับไปชั่วครู่
    - อาการชักแบบ (Partial Complex) 
    - เกิดอาการเป็นระยะๆ 
    - กัดริมฝีปาก ไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขา เดินไปมา 
    - บางคนอาจเกิดความโกรธ หรือโมโห หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก
    - อาการแบบไม่รู้ตัว (Focal Partial) 
    - เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง  ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก

  ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
     -มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
     -ท่าเดินคล้ายกรรไกร
     -เดินขากะเผลก หรือ อึดอาดเชื่องช้า
     -ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
     -มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
     -หน้าแดงง่าย  มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปาก หรือ ปลายนิ้ว 
     -หกล้มบ่อยๆ
     -หิวและกระหายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ

 5.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และภาษา (Children with Speech and Language Disorders) 
              เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น  การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นไปดังตั้งใจ มีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด

  ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
     -ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
     -ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10เดือน
     -ไม่พูดภายในอายุ 2ขวบ
     -หลัง 3 ขวบ แล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
     -ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
     -หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถาศึกษา
     -มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
     -ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย